ขอบคุณ “กรุงเทพมหานคร” นครของ “คน
วันนี้เป็นวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีครบรอบ
240 ปี นับแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีพระราชพิธียกเสาหลักเมืองขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325
ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดงานใหญ่ขึ้นในชื่องานว่า “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์...น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์” ณ สถานที่สำคัญๆต่างๆรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ 20-24 เมษายน ซึ่งผมเองก็เคยเขียนแนะนำไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
เพื่อเตือนความทรงจำวันนี้ ผมขอเชิญชวนท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ...งานยังมีถึงวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายนนี้ อย่าลืมแวะไปดื่มด่ำและสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของกรุงรัตนโกสินทร์ของเราด้วย
นอกจากจะเขียนเชิญชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยวงานใหญ่ของกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ผมยังมีความตั้งใจที่จะใช้โอกาสในวันครบ 240 ปีวันนี้ เขียนขอบพระคุณกรุงรัตนโกสินทร์เป็นการส่วนตัวอีกด้วย
ในฐานะที่มหานครแห่งนี้ได้เปิดโอกาสให้แก่ผมในฐานะราษฎรต่างจังหวัดคนหนึ่ง ซึ่งสมัยนี้ดูเหมือนไม่ไกล...แต่เมื่อ 60 กว่าปีก่อนโน้นไกลมากนะครับ...ผมเคยเดินทางทางเรือ 2 วันเต็มๆ และทางรถไฟ ออกเช้ามาถึงหัวลำโพงคํ่าๆ 1 วันเต็มๆ...จากนครสวรรค์
ขอบคุณที่ได้เข้ามาเรียนหนังสือในมหานครนี้ และต่อมาก็ได้งานทำ มีความเจริญก้าวหน้าตามสมควร และได้อยู่อาศัยในยามชราภาพมีความสุขตามสมควรเช่นเดียวกัน
กล่าวได้ว่ากรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพมหานคร เป็นนครของคนไทยทุกคน มิใช่นครของคนที่เกิดที่นี่แต่แรกๆเท่านั้น
มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ รวมทั้ง ฉบับปัจจุบัน จะเริ่มด้วยประโยคที่ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
ซึ่งมีความหมายอย่างแจ่มชัดว่า ราชอาณาจักรไทยของเรานี้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นของคนไทยทั้งประเทศร่วมกัน
ครั้นเมื่ออ่านต่อไปถึงมาตรา 36 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะยํ้าไว้อีกว่า คนไทยทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการเดินทาง และมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยภายในราชอาณาจักร อันหมายถึงว่า เป็นความชอบธรรมของคนไทยที่จะเลือกเดินทางไปปักหลักอยู่อาศัยที่ไหนก็ได้ รวมทั้ง ณ มหานครแห่งนี้
ทำให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นนครที่มีความเลิศลํ้าในทุกๆด้าน กลายเป็นเป้าหมายของคนไทยส่วนใหญ่ทั่วประเทศว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องหาโอกาสเดินทางมาเยือนนครนี้...มาเรียนหนังสือที่นี่ มาทำงานที่นี่ และถ้าเป็นไปได้ก็ปักหลักอยู่ที่นี่ในบั้นปลายชีวิต
แม้ในอีกทางหนึ่ง กรุงเทพมหานครจะมีสิ่งร้ายๆซ่อนเร้นอยู่ด้วย ...เป็นสิ่งร้ายที่น่าหวั่นกลัว ถึงขนาดมีการแต่งเพลงสอนใจไว้ว่า “อย่าไปเลยบางกอก” แต่ก็กลับเป็นการท้าทายให้ผู้คนอยากไปมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่า จะร้ายจริงเช่นนั้นหรือไม่? เพียงใด?
มองอย่างเป็นธรรม ย้อนหลังกลับไปในช่วงกว่า 60 ปีที่ผมเห็น...แม้จะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นอยู่บ้างสำหรับคนต่างจังหวัดที่เดินทางมาอยู่อาศัย หรือทำมาหากินในกรุงเทพมหานคร
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประสบความสำเร็จมากกว่า ซึ่งจะมีทั้งประสบความสำเร็จถึงขั้นสามารถอยู่อาศัยในมหานครแห่งนี้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต...หรือที่มาเก็บเกี่ยวรายได้ส่วนหนึ่งแล้วส่งไปทำนุบำรุงบ้านเดิมในชนบทจนลืมตาอ้าปากได้ ก่อนจะกลับไปอยู่อาศัยในชนบทอย่างเดิม
ผมเชื่อโดยสนิทใจว่า ตลอดระยะเวลา 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ได้ทำหน้าที่ในฐานะเมืองหลวงของสยามได้อย่างดียิ่ง
โดยเฉพาะในช่วงที่ผมมีโอกาสเห็นและสัมผัสเป็นเวลากว่า 60 ปี (ตั้งแต่ 2501 เป็นต้นมา) นั้น มหานครแห่งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างที่ผมคิดและเชื่อทุกประการ
ผมจึงอยากจะขอบคุณกรุงรัตนโกสินทร์แทนพี่น้องชาวไทยที่เคยได้รับประโยชน์จากนครหลวงแห่งนี้ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนในฐานะนครใหญ่กรุงรัตนโกสินทร์ จึงยังมีปัญหาต่างๆที่จะต้องแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาอีกมาก...ซึ่งก็คงจะต้องดำเนินการกันต่อไป
แต่สำหรับวันนี้ ขอกล่าวคำว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” สุขสันต์วันเกิด 240 ปีนะครับ...มหานคร “แห่งความหวัง” ของคนไทย.
“ซูม”